
ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ธปท. สภอ.) แถลงข่าวเมื่อวันที่ 3พฤษภาคม2566 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ไตรมาส 1 ปี 2566 ยังไม่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจประเทศ และทรงตัวจากไตรมาสก่อนตามการบริโภคภาคเอกชนที่ทรงตัว จากรายได้ทั้งในและนอกภาคเกษตรที่ยังเปราะบาง กอปรกับค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง และการสิ้นสุดของมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่เคยเป็นแรงพยุงสำคัญ ด้านการลงทุนหดตัวต่อเนื่องตามผลของเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอลงสอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจาก
การเบิกจ่ายภาคการคลังที่ขยายตัว
คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2566 ยังคงทรงตัว ตามภาคเกษตรที่ผลผลิตลดลงจากผลกระทบของ
น้ำท่วมในปีก่อนและภัยแล้งในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลให้การผลิตในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรปรับลดลง กอปรกับการผลิตเพื่อส่งออกที่ยังไม่ได้รับผลดีเมื่อเทียบกับการส่งออกของประเทศ สำหรับการบริโภคภาคเอกชน
มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 จากปัจจัยพิเศษที่มีวันหยุดยาว และวันหยุดพิเศษ แต่ครึ่งหลังของปี 2566 ยังเผชิญแรงกดดันจากค่าครองชีพที่ยังอยู่ระดับสูงอย่างไรก็ดี ภาคการคลังที่ขยายตัวต่อเนื่องยังเป็น
แรงสนับสนุนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ภัยแล้งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของอีสานในปี 2566-2567ดร.ทรงธรรม มีความเป็นห่วงสถานการณ์ภัยแล้ง
ปี 2566 ที่มีโอกาสจะเกิดสถานการณ์เอลนีโญมากขึ้น ทำให้ปริมาณฝนลดลง และอากาศร้อนกว่าปกติเมื่อพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ อาทิ ปริมาณน้ำฝนสะสม4 เดือนแรก ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปี สอดคล้องกับค่าความชื้นในดินที่
อยู่ในระดับต่ำ และทั้งสองปัจจัยยังต่ำกว่าปี 62ที่มีภัยแล้งรุนแรง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรอีสาน
ในปี 66และต่อเนื่องมายังปี 67โดยเฉพาะข้าวนาปี และอ้อยโรงงานดังนั้น ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนควรเตรียมแผนรองรับเช่น การบริหารจัดการน้ำ กักเก็บน้ำ และจัดหาแหล่งน้ำขนาดเล็กกระจายทั่วพื้นที่อย่างเพียงพอ เนื่องจากอีสานมีข้อจำกัดของสภาพพื้นที่ในการสร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่รวมทั้งการปรับปรุงดินและปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้น้ำและเพิ่มผลผลิตเช่น ระบบน้ำหยดนอกจากนี้ความไม่แน่นอนของรายได้จากภัยแล้งกระทบต่อรายได้ภาคเกษตร เกษตรกรจึงควรระมัดระวังการใช้จ่าย และหารายได้เสริม เป็นต้น
สถานการณ์ภัยทางการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงไตรมาส 1/2566 สถิติการรับแจ้งคดีออนไลน์
มีแนวโน้มลดลงจาก24,208 รายในเดือน ม.ค. 66 เหลือ 20,864 รายในเดือน มี.ค. 66ส่วนใหญ่เป็นการหลอกซื้อขายสินค้าหรือบริการ รองลงมาเป็นการหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานฯ และข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call center)ดังนั้น ประชาชนยังต้องระมัดระวังและติดตามข่าวสารการเตือนภัยอย่างสม่ำเสมอ
ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารแถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือไตรมาส 1/2566 ได้ที่
https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/RegionalEconomy/DocLib5/NE_Q1_2566.pdf
https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/RegionalEconomy/Pages/Northeastern_Economy.aspx
ที่มา/Vanta ธปท.







