
“หมอเชิด”เผย ผลการศึกษา พรบ.นิรโทษกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมเสนอต่อที่ประชุมสภา 24 ต.ค. เชื่อ ส.ส.ศึกษาข้อมูลต่างๆอย่างละเอียดและเชื่อตรงกันอย่างไม่ทีเงื่อนไข
.เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 21 ต.ค. 2567 นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีแบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เปิดเผยว่า การศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม นั้น เสร็จสิ้นแล้ว และในวันที่ 24 ต.ค. จะนำเข้ารายงานต่อที่ประชุมสภาฯ เพื่อเสนอผลการศึกษาของคณะกรรมธิการวิสามัญฯเพราะว่าประเทศไทย ก้าวไม่พ้นเรื่องความขัดแย้ง ทั้งๆที่ทุกคนพูดตรงกันว่าอยากสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็มีเรื่องทุกที อย่างเช่นเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา นับแต่ปี 2548 มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง มี นปช. และ กปปส. และในช่วงปี 2563-2565 เป็นเรื่องของกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ มาเดินขบวนลงบนถนน โดยใน 3 เหตุการณ์แรกนั้น ไม่มีเรื่องของ 112 แต่พอมาในเรื่องของกลุ่มเยาวชน ก็มีเรื่อง 112 มาด้วย พอมาเรื่องที่ 3 ในส่วนของกลุ่มเย่าวชนคนรุ่นใหม่ ก็มีเรื่อง 112 เข้ามา คณะกรรมาธิการฯ ที่ถูกตั้งขึ้นมา ซึ่งก็มีการเสนอโดยพรรคเพื่อไทยว่า ถึงเวลาที่จะต้องคุยกันในสภาฯ ใช้สภาฯเป็นที่คุยกัน เพื่อยุติความขัดแย้ง
คณะกรรมาธิการฯก็มาดูว่าความผิดที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ทางการเมืองทั้ง 4 อย่างนั้น มีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างไร เพราะอยู่ๆคนเราจะไปประท้วงโดยไม่มีเหตุจูงใจก็คงไม่ใช่ แต่แรงจูงใจทางการเมืองนั้น เมื่อเขามีความรู้สึกนึกคิดที่ตรงกัน ก็มาแสดงออกทางการเมือง มีแรงจูงใจอะไรบ้าง จากนั้นก็มารวบรวมว่ามีกี่ฐานความผิด ก็รวบรวมได้ 25 ฐานความผิด

“ใน 25 ฐานความผิด มีคดีในลักษณะอย่างไรบ้าง เช่นคดีหลัก คดีรอง และคดีที่ไม่เคยพูดกันเลยคือคดีที่มีความละเอียดอ่อนหรือคดีที่มีความอ่อนไหว คือคดีที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ และคดี 110 และ112 ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้แยกออกมา 3 แบบ คือคดีหลัก คดีรอง และคดีที่มีความอ่อนไหว ซึ่งในคดีทั้งหมด ถ้าออกมาในแนวทาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะทำอย่างไร จะยึดเอาแบบเดิมหรือไม่ คือถ้าคนที่ถูกพิจารณามีความผิดติดคุกไปแล้ว ก็ให้ออกจากคุก ถ้าศาลพิจารณาคดีอยู่ก็จำหน่ายคดี อัยการก็ไม่สั่งฟ้อง ตำรวจก็ไม่ดำเนินคดี ลบชื่อออกจากประวัติ การเสนอแต่งตั้งให้มีคณะกรรมการ เพราะมีคนตกหล่นจำนวนมาก ถ้ามีคณะกรรมการก็จะได้รับอุทรณ์ได้ หรือมีการเยียวยาหรือมีเหตุมีผลที่จะช่วยเหลือหรือไม่ และการผสมผสาน คือการเอาทั้งข้อที่ 1 และข้อที่ 2 มาทำร่วมกัน จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และจะได้นิรโทษกรรม โดยเฉพาะแบบที่ 3 คณะกรรมาธิการฯเห็นตรงกันทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข”
นพ.เชิดชัย กล่าวต่ออีกว่า ในเรื่องคดีที่ละเอียดอ่อนทางการเมือง ตามมาตรา 110 และ112 ที่ผ่านมา บ้านเรายังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่กลับพูดคุยกันในเรื่องอื่นๆนั้น จึงอยากจะบอกว่าการศึกษาในเรื่องมาตรา 112 นั้น ไม่ใช่การแก้กฏหมาย ไม่มีการยกเลิก พ.ร.บ. 112 แต่จะช่วยพิจารณาคนที่ทำผิดนั้นได้อย่างไร เพราะบางคนมีความผิดแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบางคนกระทำแบบอาฆาตมาตร้าย จึงมีความเห็นออกมาเป็น 3 ทาง ประกอบด้วยการไม่ให้พ้นผิด เสมือนว่าทำผิดเกี่ยวกับความมั่นคง การให้นิรโทษให้หมด และไม่มีเงื่อนไข สุดท้ายคือการเห็นด้วย แต่มีเงื่อนไข ซึ่งจะต้องดูในแต่ละคดี ให้ศาลใช้ดุลยพินิจพิจารณา ซึ่งก็แล้วแต่ศาล ในส่วนของการมีเงื่อนไขนั้น อาจจะต้องกำหนดไว้ว่า ห้ามทำซ้ำ และผู้ที่มีความผิดใน ม.112 ในช่วงปี 2563-2565 นั้นส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา เป็นปัญญาชน ที่ต้องเรียนที่ต้องศึกษา ไม่ต้องไปผูกพันธ์กันเอาไว้ ให้โอกาสเขาได้กลับไปเรียนหนังสือ อภัยได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะนิรโทษกรรมคือการลืม ลืมได้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ดี บ้านเมืองเราจะอยู่กันได้ แม้ความคิดต่างกัน แต่อย่าเกิดเรื่อง ให้สู้กันด้วยสันติวิธีจะดีกว่า
“พอคณะกรรมาธิการวิสามัญฯทำงานเสร็จ ซึ่งในกฏหมายของสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เพราะเป็นเรื่องของสภาล้วนๆ มีข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฏร ที่ระบุไว้ชัดเจนในข้อที่ 104 ระบุว่าเมื่อคณะกรรมธิการฯศึกษาเรียบร้อยแล้ว ต้องมารายงานสภาฯ และถ้า สส.ติดใจอะไรต่างๆ สามารถต้องข้อสังเกตุได้ ถามข้อข้องใจได้ คณะกรรมาธิการฯจะได้ตอบคำถามให้ แต่ไม่ใช่การอภิปราย และอยากให้ ส.ส.อ่านและทำความเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมดข้อ 105 ในกรณีมีข้อสังเกตุ มีข้อเสนอ ส.ส.แต่ละท่านอ่านแล้ว จะมีความเห็น รับหรือไม่รับก็ได้ เพราะฉะนั้น ส.ส.ต้องอ่านและทำความเข้าใจด้วย และหากเกิดกรณี พรรคการเมืองไม่เห็นด้วยนั้น คงจะเป็นการเข้าใจผิด เพราะอ่านไม่ละเอียด ในวันที่ 24 ต.ค. ที่จะถึงนี้ ส.ส.มีอะไรจะถามคณะกรรมาธิการ ก็ถามมา จะได้ตอบ ซึ่งทุกคนที่ออกความเห็น ล้วนเป็นความเห็นส่วนตัวทั้งสิ้น ซึ่งคือความเห็นที่แตกต่างเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายทุกคนก็ต้องลงมติ ส่วนกฏหมายจะออกมา ก็เป็นเรื่องของ ส.ส.และพรรคการเมืองแต่ละพรรค เพราะคณะกรรมาธิการฯเป็นคณะที่ทำการศึกษามาแบบนี้ อาจจะมีความคิดเห็นที่ไม่ถูกใจ ก็อาจจะเสนอญัตติ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับของตัวเองก็ได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังไม่มี ฉะนั้นจึงอยากให้ สส.อ่านให้ละเอียด ว่า ศึกษาของคณะกรรมธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม มันเป็นการศึกษา ที่ทำการศึกษาเสร็จแล้ว ไม่ใช่การยกเลิกมาตรา 112 และไม่มีการแก้ไขใดๆทั้งสิ้น และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เพราะเป็นเรื่องของ ส.ส. เพราะถ้าผ่านได้ ก็เท่ากับว่า เป็นการศึกษาวิจัยอีกทางหนึ่ง ที่มีไว้ศึกษา อ้างอิงได้ โดยไม่ต้องไปคิดกันใหม่”
นพ.เชิดชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ก่อนที่จะนำเข้าในสภาฯในวันที่ 24 นี้ ก็มี ส.ส.มีพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยและมีความคิดเห็นต่างๆนานา ซึ่งก็เป็นการดี ที่ทำให้ประชาชนเห็น ส.ส.และพรรคการเมืองนั้นๆว่ามีความคิดอย่างไร และเชื่อว่า ผลที่จะตามมาคือวันที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งโดยส่วนตัว ยังอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า เพราะถ้าสภาฯไม่เป็นแหล่งที่พูดคุยกันได้ ก็ไม่สมควรเป็นสภาผู้แทนราษฏร”