คนทำหนังขอนแก่น ชี้หนังไม่ใช่ซอฟพาวเวอร์ รัฐควรเฟ้นหาคอนเทนต์ที่ดีมาต่อยอดอย่างจริงจัง เพราะหนังไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ควรสนับสนุนอย่างยั่งยืนไม่ใช่แค่ฟีเวอร์แล้วก็หายไป
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 11 ม.ค.2567 ที่หอศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. เปิดเผยว่า ในฐานะที่สอนภาพยนต์ เป็นคนที่ทำหนังเป็น และเป็นคนที่อยู่ในกระบวนการภาพยนต์ที่ดำเนินกิจกรรมให้หนังเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนต์ของไทย รู้จักคนในวงการภาพยนต์ รู้ว่าคนในกระบวนการภาพยนต์นั้นทำอะไรตั้งแต่เริ่มจนจบ พอได้ยินรัฐบาลมาบอกว่าภาพยนต์ไทยจะเป็นซอฟพาวเวอร์ คนทำหนังถึงกับช็อค เพราะหนังก็คือสื่อฯที่ทรงพลังมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ดังนั้นเป็นคำถามที่ว่าหนังจะหาคอนเทนต์อะไรให้เกิดการเป็นกระแสเพราะหนังมีทุกรูปแบและมีทุกเรื่องราว มีทั้งบวกและลบ
“ดังนั้นถ้าจะเอาหนังไทยไปทำเป็นซอฟพาวเวอร์ ก็จะหมายถึงสื่อชนิดหนึง่ที่ไปค้นหาคอนเทนต์ที่ดี ซึ่งอาจจะไปค้นหาวัฒนธรรม รากวัฒนธรรม หรือวิถีต่างๆ หรืออะไรที่เป็นของใครของมัน ดังนั้นต้องมีคนบอกว่เรื่องนี้นั้นเป็นพลังที่พอจะเป็นหนังและนำไปเผยแพร่ให้เป็นซอฟพาวเวอร์จริงๆ เพราะคำว่าซอฟพาวเวอร์ ไม่ใช่คิดเอง ทำเอง ชงเอง ตบเอง เสพเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นในความเข้าใจผมทั้งหมดนี้ไม่ใช่ซอฟพาวเวอร์ ซึ่งซอฟพาวเวอร์ ต้องมีคนมาเสพ มาเห็น มาดู ยิ่งต่างชาติ เค้าเห็นและทำตามด้วยความสมัครใจ ดังนั้นซอฟพาวเวอร์ผ่านสื่อภาพยนต์ที่รัฐบาลกำลังทำนั้นเป้นไปได้ แต่ต้องระวังว่าสิ่งท่ำนั้นเป็นซอฟพาวเวอร์ หรือเป็นฟีเวอร์ เป็นกระแสและนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ ซึ่งเมื่อติดกระดุมเม็ดแรกผิด ความเข้าใจผิด ก็จะมามองกลับว่าเรากำลังเรียนรู้ในสิง่ที่ถูกต้องหรือไม่”
รศ.ดร.นิยม กล่าวต่ออีกว่า ในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ ถ้ามองในเชิงบวกต้องขอบคุณรัฐบาลคุณเศรษฐา ที่อาจะเป็นรัฐบาลเดียว ในข้อมูลที่มีอยู่ ที่ให้ความสำคัญกับ เศรษฐกิจเชิงความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creative. Economy ให้ความสำคัญทางทุนวัฒนธรรมและให้ความสำคัญ สิ่งเหล่านี้ให้ไปสู่ตลาดโลก ซึ่งเป็นงิ่ที่ดี แต่สิ่ที่ต้องระมัดระวัง คือถ้าไม่เข้าใจในซอฟพาวเวอร์โดยถ่องแท้แล้ว ก็เพียงแค่เอาคำว่าซอฟพาวเวอร์ทิ้งและมาช่วยกันสนับสนุนหนังไทยจากปรากฎการณ์หรือกระแสที่เกิดขึ้นในวงการหนังไทยอย่างที่ผ่านมา น่าจะถูกกว่า ดังนั้นถ้าจะเอาหนังไทยไปแข่งกับโลก ก็ไม่ควรเอาโลกมาดูหนังไทยในสิ่งที่เค้ารู้จัก ดังนั้นคนทำหนังต้องเอาเรื่องที่ทุกคนรู้จักดี ทั้งวัฒนธรรม ชุมชน ภูมิปัญญา หาให้เจอเสร็จแล้ว เอาเรื่องนี้มาทำหนังแล้วก็เอาไปขายให้โลก อย่างเช่นตอนนี้คนขอนแก่น ร่วมกันลงทุนทำหนังเรื่อง 4 ขมัง ก็กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ และเรื่องพระไม้ ทุกคนกำลังสนใจจากฝีมือคนอีสาน เพราะสร้างนิยามและตัวตนว่า พระไม้ วัตถุอันตรายอย่าเอาเข้าบ้าน ทั้งหมดนี้คือการเฟ้นหาตัวตนและเอาไปขายโลก ซึ่งก็ทำกันมาก่อนจะมีปรากฎการณ์ซอฟพาวเวอร์เสียอีกดังนั้นทุกคอนเนต์ที่เราทำไม่ใช่ซอฟพาวเวอร์ อย่างสัปเร่อ ที่ทำมานั้นไม่ใช่ซอฟพาวเวอร์ วิถีชีวิตการกินส้มตำ นี่ก็ไม่มใช่ซอฟพาวเวอร์ ทั้งหมดคือคอนเทนต์ ที่รอที่จะผ่านกระบวนการซอฟพาวเวอร์
“ผมเป็นนักวิจัยมองทุกอย่างเป็นงานวิจัย ซอฟพาวเวอร์เป็นงานที่ค่อยๆคิดอย่ากระโตกกระตาก แต่ตอนนี้มันกระโตกกระตากไปแล้ว ถ้าเราค่อยช่วยกันทำอย่างค่อยป็นค่อยไป จนกลายเป็นการป้ายยาแบบไม่รู้ตัว แต่ต้องขอชมรัฐบาล ที่ทำให้คนทำหนังเห็นแสงสว่างในปลายอุโมงค์ ทำให้คนรักหนังอิ่มเอมใจ เพราะรัฐบาลมากระตุ้นและมาแสดงพลังให้เห็นว่าหนังไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก และคนไทยอยากดูหนังไทย แต่ทำอย่างไร ที่จะหาคนไทยทำหนังไทยให้ถูกตาคนไทยก็เท่านั้นเอง”
รศ.ดร.นิยม กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตอนนี้คนทำหนัง เก่งๆเยอะ ดีๆเยอะ และคนไทยที่อยากดูหนังไทยก็เยอะ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลให้ความสำคัญและใส่ใจในวงการภาพยนต์จะเป็นตัวกระตุ้นและขับเคลื่อนให้คนที่อยากทำหนัง หรือคนที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมหนังไทยนั้นได้กล้าที่จะเดินออกมาและแสดงตัวว่าพร้อมที่จะทำหนังไทยดีๆ มีแนวคิดและไอเดียที่ดี มานำเสนอก็จะได้ระบการผลักดันและส่งเสริม เพราะทุกวันนี้คนทำหนังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ทุกคนมีไอเดียแต่เงินไม่มี ดังนั้นวันนี้คนอยากทำกับงบที่อยากให้มีแล้วก็ต้องมาคุยกันมาเจอกันมาแลกเปลี่ยนกัน เพราะคอนเทนต์อีกมากมายที่อยู่ในประเทศที่ไม่แพ้ชาติในโลกที่รอการนำเสนอจากคนทำหนังและคนที่อยากสนับสนุนและแรงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหนังไทยให้เกิดความยั่งยืนเป้นซอฟพาวเวอร์ที่แท้จริงไม่ใช่ปรากฎการณ์ฟีเวอร์ที่ดังแล้วและก็ดับไป